How to Gap Year - เตรียมหยุดพัก รีบูสต์ตัวเองในวันที่ Burnout

Ping TR
3 min readSep 3, 2021

--

Burnout รู้สึกอยากพัก อยากหยุด อยากมีเวลาให้ตัวเอง ยังไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไรต่อไปจากนี้ หาทางออกไม่เจอ ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับการ Gap Year

เกริ่นก่อนว่า 1 ก.ย. 64 ที่ผ่านมาเป็น วันครบรอบ 1 ปีที่เริ่ม Gap Year นั้นเอง ถ้าเปรียบเทียบเป็นพนักงานทำงานก็เรียกว่าครบรอบ 1 ปีในการตัดสินใจเดินทางสายใหม่ เลยได้แรงฮึดว่าอยากเขียนบทความทิ้งไว้ให้ตัวเองอ่านซักหน่อย และ จะเป็นการแชร์ประสบการณ์ในการตัดสินใจครั้งนี้ เผื่อว่ามีใครที่เข้ามาอ่านแล้วมีคำถามหรืออยากมาคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ก็สามารถมาแชร์กันได้เลย

“Gap Year” เป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในไทยเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีที่มาจากต่างประเทศ ที่นิยมให้เด็กค้นหาตัวเองจากการลงมือทำ ไปเรียนรู้ในสิ่งที่อยากเรียน เรียนรู้นอกห้องเรียน โดยคอนเซ็ปต์นี้เน้นไปที่กลุ่มเด็กม.6 ช่วงวัยที่ต้องตัดสินใจเลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ให้เด็กหยุดพัก 1 ปี เพื่อใช้เวลาในการค้นหาตัวเอง ไปลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ห้องเรียนไม่มีสอน ก่อนที่จะกลับไปเลือกคณะในการเรียนต่อมหาลัยในปีการศึกษาใหม่

ซึ่งเราใช้คอนเซ็ปต์เดียวกันกับการหยุดพักจากการทำงาน โดยมีเหตุผลเพื่อค้นหาตัวเอง รวมถึงรักษาความ Burnout จากการทำงานด้วย

และ เรื่องระยะเวลาจำนวน 1 ปีมันไม่ได้เป็นกฏบังคับ สามารถเลือกปรับได้ตามสะดวก แต่ควรมีระยะเวลาที่นานพอกับการได้หยุดพัก และมีเวลาไปทำอะไรที่อยากทำมากขึ้น

Checklist สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อน Gap Year — เพราะภาระของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน

ต้องบอกว่าภาระแต่ละคนที่ต้องแบกรับมีแตกต่างกัน การค่อยๆประเมินทีละส่วนว่าเราพร้อมแค่ไหนสำคัญต่อการตัดสินใจ อย่างเคสของเราก่อนที่จะเริ่มตัดสินใจว่าจะหยุดพักก็เตรียมตัวมาล่วงหน้าหลายเดือน นั่งคิดวิเคราะห์ในหลายด้านมากๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายๆปัจจัย Check list ก่อนตัดสินใจดังนี้

1.ด้านการเงิน — เตรียมเงินสำรอง 6 เดือน+

สำหรับคนวัยทำงาน คำแนะนำของเราที่ฟังมาจาก money coach คือ เก็บเงินสำรอง 6 เดือนขึ้นไป เรียกว่าถ้าไม่มีเงินเดือนเลยก็ยังมีเงินใช้อยู่รอดได้อีก 6 เดือนซึ่งน่าจะเป็นระยะเวลาที่มากพอให้เราหางานใหม่ได้

แต่ในช่วงโควิดแบบนี้!!! แนะนำว่าให้มีเงินสำรองไปเลยยาวๆ 1 ปี ล่วงหน้าเลยถ้าเป็นไปได้!

แชร์ส่วนตัวเราเตรียมล่วงหน้าไว้ประมาณนึง เพียงพอให้สบายใจในการใช้ชีวิตในช่วงต่อจากนี้

สำหรับเด็กพึ่งจบใหม่ น่าจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆอยู่ 2 กลุ่ม
1. กลุ่มที่เริ่มทำงานทันทีรีบหาเงินด้วยตัวเอง ดูแลชีวิตตัวเอง แบ่งเบาภาระพ่อแม่
2.กลุ่มที่ขอพักก่อนซักระยะ ขอไปเที่ยวไป Work & Travel ไปใช้ชีวิต ไปหาประสบการณ์ก่อนซัก 1–3 เดือนแล้วค่อยกลับมาเลือกทำงาน ซึ่งการตัดสินใจทั้งสองทางไม่มีทางไหนถูกหรือผิด

แต่ถ้าคุณยังมีความรู้สึกไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังจะเลือกทำงานมันใช่จริงๆไหม? เรามีทางเลือกกลุ่มที่ 3 ในการให้ตัวเองลอง Gap Year หยุดพัก (ลองแหวกทุกกฏ Gap Year แปลว่าอิสระ 555 )แล้วไปทำในสิ่งที่อยากทดลองทำดู

ความแตกต่างของการทำสิ่งที่อยากทดลองทำในช่วง Gap Year กับ การเข้าไปทำงานจริงๆคือ “อิสระและความกดดัน

การทำสิ่งที่ชอบในช่วง Gap Year มีความกดดันน้อยกว่ามากกกก(x10) อาจจะใช้เวลานี้ในการฝึกงาน(ในตำแหน่งที่คิดว่าอยากลอง) , ทำ Part-Time ในบริษัทที่อยากทำ,การทำอาสาสมัคร ,ไปเรียนคอร์สสั้นๆ,การเข้า workshop, ลองไปเที่ยวคนเดียวต่างประเทศ บางทีคำตอบที่คุณตามหา อาจจะอยู่ในที่ที่คุณไม่เคยไปก็ได้
และ ในช่วงเวลาที่เราไม่มีประสบการณ์ การอาสาทำสิ่งต่างๆโดยไม่รับผลตอบแทนถือว่าเป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ทั้งฝั่งผู้ให้โอกาส และ ตัวเราเอง

2.ด้านความสัมพันธ์ — ลองพูดคุยกับคนใกล้ชิด

คำว่าความสัมพันธ์ในที่นี้คือ “ความเข้าใจ” ของคนรอบตัว ครอบครัว หรือ แฟนของเราความเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะเลือกทำ และผลกระทบที่อาจจะเกิดตามมา

เช่น ถ้าเรามีภาระต้องส่งเงินให้ทางบ้าน ถ้าหยุดทำงานทางบ้านอาจจะได้รับผลกระทบ แล้วอาจก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันอาจจะคิดว่าเราขี้เกียจเรียน/ทำงาน อยากอยู่บ้านเฉยๆก็ได้ หรือแฟน ถ้าไม่คุยกันให้ดีเค้าอาจจะมองว่าเราไม่มีอนาคตก็ได้ การคุยให้เข้าใจตรงกันจะช่วยให้การ Gap Year ของเราลดโอกาสในการขัดแย้งในภายหลัง

ประเด็นที่ต้องสื่อสารให้เข้าใจกัน
1.สถานการณ์ เหตุผลที่ตัดสินใจ
2.การเตรียมพร้อม Plan ที่อยากไปทำต่อจากนี้
3.ระยะเวลา ที่กำหนดให้ตัวเอง เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี

แชร์ส่วนตัว : เราคุยกับครอบครัวไว้ก่อนล่วงหน้าราวๆ 2–3 เดือนก่อนตัดสินใจลาออก โชคดีที่ที่บ้านไม่มีข้อกังวลในการตัดสินใจครั้งนี้

3.ด้านเวลา — เตรียมลิสต์แพลนให้กับตัวเอง

ถ้าตัดสินใจ Gap Year แล้ว การเตรียม Plan เป็นสิ่งนึงที่สำคัญ เพราะทุกเวลา 24 ชั่วโมงจะเป็นของเรา จะใช้งานยังไงก็ได้ เราอาจจะมีความรู้สึกว่ามีเวลาเหลือๆ จนทำให้รู้สึกขี้เกียจไปได้ เลยควรมีการเขียน Plan คร่าวๆว่าจะทำอะไรในแต่ละวัน หรือ แต่ละสัปดาห์บ้าง รวมถึงตั้งเป้าหมายเล็กๆ (Small Win)

วันนี้จะทำอะไร? จะไปไหน ? จะออกกี่โมง?
วีคนี้อยากเรียนรู้อะไร?
อยากได้ทักษะอะไรเพิ่ม?
จะอ่านหนังสือเล่มไหนต่อ?
อยากคุยขอคำแนะนำจากใคร?

เขียนตารางให้ตัวเองมีกิจวัตรเช่นเดียวกับทำงาน
ไม่ปล่อยปละละเลยให้ตัวเองอยู่ว่างๆ

แชร์ส่วนตัว :ตอนวันแรกๆที่ Gap Year มันก็จะว่างมากๆ จนรู้สึกขี้เกียจกันเลยทีเดียว เลยต้องมีการวางตารางเวลาว่าในวันพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง ลงตารางเวลาให้ตัวเอง

ช่วง 1 เดือนแรกเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ได้อ่านหนังสือ ได้ออกกำลังกาย ได้ไปเที่ยว ได้ไปทำสิ่งที่อยากทำ จนไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับงานเลย 555 จนเข้าเดือนที่สองเริ่มตระหนักแล้วว่าถ้าปล่อยตัวแบบนี้อาจจะทำให้ภูมิต้านทานโลกภายนอกค่อยๆลดลง รวมถึงสกิลตัวเองลดลงด้วย เลยกลับมาตั้งสติใหม่ และเริ่มทำอะไรที่จริงจังมากขึ้น รวมถึงเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ โดยในช่วงแรกไม่ได้เน้นเรื่องเงิน แต่เน้นที่ประสบการณ์ และ ฝึกจิตใจของตัวเอง

และขึ้นชื่อว่า Year แต่ไม่ได้เท่ากับ 1 ปี เสมอไป ปรับเปลี่ยนได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีก็ได้อย่างของเราแพลนในใจ 3–4เดือน นานกว่านั้นกลัวตัวเองจะขี้เกียจ

4.ด้านใจ — การคุยกับตัวเอง การตัดสินใจ

การเตรียมใจให้พร้อม เตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดตามมา เตรียมการวางแผนใช้ชีวิตในช่วงเวลาหลังจากนี้ คุยกับตัวเองว่าการเลือกพักในช่วงระยะสั้นๆมันจะตอบโจทย์ตัวเราเองจริงไหม มันดีกว่าทางที่เดินอยู่จริงไหม ลองเขียนข้อดี ข้อเสียต่างๆออกมาก่อนก็ได้ รวมคิดให้รอบด้านถึงข้อจำกัดของชีวิต

แชร์ส่วนตัว : ตัดสินใจ Gap Year ไม่ใช่การว่างงาน ไม่ใช่การหยุดพักงาน แต่เราต้องการเวลาในการรีเฟร็ชตัวเอง โดยที่มีเป้าหมายที่จะตอบคำถามในใจที่ เรื่องอาชีพที่เราเหมาะสม

Gap Year เกิดขึ้นส่วนมากในวัย มัธยมสู่มหาลัย ที่ต้องการค้นหาสายการเรียนของตัวเอง แต่ถ้าคุณโตกว่านั้นก็ไม่ผิด…

เราเองก็ทำงานมาประมาณนึง แต่ก็ยังหาตัวเองไม่เจอ บางคนอาจจะมีคำถามว่าทำไมไม่ทำในสิ่งที่อยากทำ ควบคู่กับการทำงานประจำไปเลยละ ก็ใช้เวลาช่วงกลางคืน หรือเสาร์อาทิตย์ไม่ได้หรอ ?

ข้อนี้มองว่าจริงก็จริง 🤣 แต่ถ้าทุกคนรู้จักมนุษย์บ้างาน ที่ชอบทำหลายๆอย่าง เราก็คือหนึ่งในนั้นตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยทำงานเดียว ในที่นี้งานอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นงาน Part-time , งานอาสา , ทำงาน TA , เข้า Workshop , เรียนคอร์สสั้นๆ , ไปสัมมนา จนไม่ค่อยมีเวลาว่าง(ที่ว่างจริงๆ)ให้ตัวเองในเสาร์อาทิตย์สักเท่าไร…

การเอาตัวเองไปวิ่งหาประสบการณ์ตลอดเวลา มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับวัยรุ่นที่ค้นหาตัวเอง แต่การวิ่งโดยไม่มีการหยุดพักเลย ก็อาจจะทำให้เราลืมกลับมามองในสิ่งที่มีอยู่

เหมือนตัวเองเป็นนักวิ่งแข่ง ความเร็ว 100 เมตร ที่วิ่งไม่หยุดเพื่อตามหาสิ่งเดียวคือ “การค้นหาตัวเอง” จนเหลือสิ่งที่ขาดจากชีวิตที่ยังไม่ได้ลองทำคือการมี “เวลาว่าง” (คำนี้พิมพ์เองแล้วฟังดูเป็นเหตุผลที่เว่อร์มาก 555 แต่มันเกิดขึ้นจริงในโมเม้นท์นั้น)

พอคนยุ่งตลอดเวลาอย่างเรา สิ่งที่ยังไม่เคยทำคือ การลองมีเวลาว่างดู แล้วก็ค้นพบว่ามันจริง! เป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ไม่เคยเจอ และนี่เป็นจุดที่ทำให้ค้นพบคำตอบที่ตัวเองตามหามาทั้งชีวิต

ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับคุณ หรือถ้ามีคนใกล้ตัวของคุณที่อยากจะตัดสินใจ Gap Year อยากคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็ ยินดีมากๆเลย~ เราสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสเลือกทางเดินของชีวิต เราเลือกได้!

เกี่ยวกับผู้เขียน

//PingTR//
Thammabhon Rojpinyo
Digital MKT / Eventer / Photographer / Gap year

Contact FB : Thammabhon Rojpinyo

--

--

Ping TR
Ping TR

Written by Ping TR

นักเดินทางค้นหาตัวเอง / Freelance Digital MKT / Photographer : Moment maker / Eventer : Hidden Agenda / Gap year BKK

No responses yet